กลับมาครั้งใหม่ในเวอร์ชันที่เลือดมากขึ้น มืดมนขึ้น และเน้นฮอร์เรอร์กว่าเดิม – Hellboy (2019) คือภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่รีบูตจากคอมิกจาก Dark Horse Comics โดยสูญเสียบางสิ่งของเวอร์ชันก่อน แต่ยังคงหัวใจของฮีโร่ตนแดงไว้
ข้อมูลเบื้องต้น
- ผู้กำกับ: Neil Marshall
- เขียนบท: Andrew Cosby (และบทเพิ่มเติมโดย Mike Mignola)
- นำแสดงโดย: David Harbour (Hellboy), Milla Jovovich (Blood Queen), Ian McShane (Professor Bruttenholm)
- ปีที่ฉาย: 2019
- ความยาว: 121 นาที (โดยประมาณ)
- คะแนน IMDb: 5.3/10
เรื่องย่อ (ไม่สปอยล์หนัก)
ในโลกที่ยังคงมีสิ่งเหนือธรรมชาติอยู่เบื้องหลังหน้ากากของมนุษย์, Hellboy ถูกเรียกตัวจากองค์กร Bureau for Paranormal Research and Defense (B.P.R.D.) เพื่อรับมือกับภัยครั้งใหม่ โดยมี “ราชินีโลหิต” หรือ Nimue ผู้ซึ่งถูกสังหารในยุคกลางและกลับมาพร้อมกับแผนการทำลายล้างครั้งใหญ่
Hellboy จึงต้องร่วมทีมกับเพื่อนร่วมงานเพื่อหยุดยั้งสงครามที่อาจจบมนุษยชาติ แต่เขาก็ยังต่อสู้กับตัวตนของตัวเองว่า…เขาคือ “ปีศาจ” หรือ “ฮีโร่” กันแน่
สปอยล์เนื้อเรื่องแบบเต็ม
เรื่องเริ่มต้นในปี 517 A.D. เมื่อ Nimue – ราชินีโลหิต – ถูกกษัตริย์อาเธอร์และเมอร์ลินกักขัง แต่ในยุคปัจจุบัน Hellboy ถูกส่งไปยังแม็กซิโกและอังกฤษเพื่อหยุด Nimue ที่เริ่มรวบรวมอิทธิพล, คืนชีพ และพร้อมจะปลดปล่อยหายนะ.
เมื่อทีม B.P.R.D. ค้นพบแผนของ Nimue พวกเขาต้องต่อสู้กับยักษ์, สัตว์ประหลาด และซ่องสุมเหนือธรรมชาติ Hellboy เผชิญหน้ากับแม่มด Baba Yaga และ Gruagach ผู้ใช้เวทมนตร์เพื่อล้างแค้นเขาเอง.
ท้ายที่สุด Hellboy พบว่าตัวเองคือ Anung Un Rama ผู้ซึ่งอาจเป็นกุญแจสู่วันสิ้นโลก แต่เขาเลือกจะเป็นฮีโร่ – ถอนหินจาก Excalibur และต่อสู้เพื่อมนุษย์ก่อนจะจบลงด้วยการจากลากับพ่อบุญธรรมของเขา.
บทวิจารณ์
จุดแข็ง:
- เอฟเฟกต์งานแต่งหน้าและคอสตูมโดดเด่น โดยเฉพาะ Hellboy และสัตว์ประหลาดต่าง ๆ
- David Harbour ถ่ายทอดบท Hellboy ได้มีน้ำหนักทางอารมณ์มากขึ้น และนำเสนอภาพฮีโร่ที่ “ไม่สมบูรณ์แบบ” ได้ดี
- การผสมแนวฮีโร่ + สยองขวัญ ทำให้หนังก้าวออกจากกรอบซูเปอร์ฮีโร่แบบเดิม
จุดอ่อน:
- ปัญหาโครงเรื่องที่ถูกวิจารณ์ว่าไม่ชัดเจน และความต่อเนื่องของตัวละครบางตัวอ่อนมากขึ้น
- โทนหนังกระโดด ควบคุมจังหวะได้ไม่เท่าเวอร์ชันก่อนของ Guillermo del Toro ซึ่งแฟน ๆ เปรียบเทียบอย่างมาก
โดยรวมแล้ว Hellboy (2019) เป็นการทดลองใหม่ที่เต็มไปด้วยพลังงานและเลือดสาด แต่ไม่อาจก้าวข้ามเงาของภาคก่อนอย่างสมบูรณ์
หากคุณชอบฮีโร่เลือดหนัก บรรยากาศดาร์ก และสิ่งเหนือธรรมชาติแบบจัดเต็ม เรื่องนี้ถือว่าควรดู — แต่หากคุณชอบบทภาพยนตร์แน่นและตัวละครทรงพลังแบบเวอร์ชันก่อน อาจรู้สึกว่ายังขาดอะไรบางอย่าง
